Wednesday 28 September 2011

็High competitions but best potential KBO full contest on nice knowledge base..easy to win...right?

http://www.cdd.go.th/index2.php#


อพช.เป็นประธานเปิดการประกวดผลงานของเครือข่ายองค์ความรู้ OTOP KBO จังหวัดดีเด่น OTOP KBO CONTEST ปี 2554


เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2554 เวลา 9.00 น. นายสุรชัย ขันอาสา อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานในพิธีเปิดการประกวดผลงานของเครือข่ายองค์ความรู้ (Knowledge-Based OTOP:KBO)จังหวัดดีเด่น (OTOP KBO CONTEST) ปี 2554 โดยนายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ ลานรัฐประศาสนภักดี ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีคณะผู้บริหารกรมฯ ข้าราชการกรมการพัฒนาชุมชน ผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP และประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าร่วมงาน งานวันนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งในงาน "ก้าวสู่ 50 ปี กรมการพัฒนาชุมชน" ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28 ก.ย.- 1 ต.ค. 2554 นี้   คลิ๊กดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์กองประชาสัมพันธ์
ปรับปรุงล่าสุด: 28 ก.ย. 54 13:02:16 น.
 








นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการสัมนาเวทีสาธารณะ เรื่อง “โอกาสของธุรกิจไทยภายใต้การเปิดเสรีการค้าบริการอาเซียน”


วันที่ 20 ก.ค. 2553

http://www.dtn.moc.go.th/dtn/cms/u_mnews_detail.php?idmnews=456
                  นายอลงกรณ์พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการสัมนาเวทีสาธารณะเรื่องโอกาสของธุรกิจไทยภายใต้การเปิดเสรีการค้าบริการอาเซียน” เมื่อวันอังคารที่20กรกฎาคม 2553ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
                  กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดสัมนาเวทีสาธารณะปิดท้ายในกรุงเทพฯดันเสรีการค้าธุรกิจภาคบริการ4สาขาเร่งรัด เพื่อบรรลุการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวในอาเซียน(ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์) ภาคธุรกิจบริการและภาคประชาชนตอบรับร่วมร่วมงานสัมนาเวทีสาธารณะโอกาสของธุรกิจไทยภายใต้การเปิดเสรีการค้าบริการอาเซียน” จัดโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ สำหรับการจัดสัมนาครั้งนี้เป็นการสรุปความคิดเห็นของผู้ประกอบการภาคบริการที่ได้จากการจัดสัมนาในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศทั้งหมดเพื่อจัดทำข้อผูกพันชุดที่8เพื่อให้บรรลุการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวในอาเซียน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนและบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
                  โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยอาศัยการค้าระหว่างประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงถึง120 เปอร์เซนต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศหรือ จีดีพี ดังนั้นการเปิดเสรีทางการค้าจึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะการเปิดเสรีทางการค้ากับอาเซียน ซึ่งจัดเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยโดยมีสัดส่วนการค้าถึงร้อยละ23 สูงกว่าการค้ากับประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปประเทศไทยและสมาชิกอาเซียนได้ลงนามในแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือASEAN ECONOMIC COMMUNITY AEC Blueprint ทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนรวมทั้งไทยต้องดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้ว่าประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องทยอยเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าการค้าบริการ และการลงทุนในประเทศของตนตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ เพื่อให้อาเซียนรวมตัวกันกลายเป็นตลาดเดียว ฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ แรงงานมีฝีมือและเงินทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนได้อย่างเสรียิ่งขึ้นในปี2558”
                  หัวข้อการสัมนาในวันนี้เน้นเรื่องการเปิดเสรีการค้าบริการในอาเซียน โดยภายในปีนี้อาเซียนมีเป้าหมายที่จะลดอุปสรรคในการเข้าไปทำธุรกิจบริการ และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในทุกสาขาบริการ เพื่อให้นักลงทุนอาเซียนสามารถถือหุ้นได้อย่างน้อย51 เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาบริการที่ถือเป็นสาขานำร่อง หรือPriority Sectorsได้แก่สาขาโทรคมนาคมสาขาคอมพิวเตอร์ สาขาสุขภาพสาขาท่องเที่ยวและสาขาการบินเนื่องจากเป็นสาขาบริการพื้นฐานที่เป็นต้นทุนของธุรกิจอื่นหรือถ้าเป็นสาขาบริการที่อาเซียนมีศักยภาพ จะอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นอย่างน้อย70 เปอร์เซนต์”
                  ภายในงานสัมนาครั้งนี้ยังมีการอภิปราย ความพร้อมของไทยในการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่8สาขาบริการในอาเซียนโดยในภาคเช้าได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาอาชีพ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ อาทิ นายฉัตรชัย มงคลวิเศษไกวัล รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบและการค้าระหว่างประเทศและประธานคณะอนุกรรมการด้านการค้าบริการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนางนิตยาจันทร์เรืองมหาผล เลขาธิการสภาวิศวกรนายสุวิทย์รัตนจินดา นายกสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศดร.นิรชาภาทองธรรมชาติรองผู้อำนวยการการตลาดต่างประเทศสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติและนายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขานายกแพทยสภาส่วนในภาคบ่ายมีผู้ร่วมอภิปรายในหัวข้อเดียวกันประกอบด้วยนายรณรงค์พูลพิพัฒน์ผู้อำนวยการส่วนการค้าบริการอาเซียนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศนางสาวนรินทร์ จิยารมณ์นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และเอสเอ็มอีไทยนายขันทะวง ดาลาวง เลขาธิการสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาวนายพรรธระพี ชินะโชตินายกสมาคมการแสดงสินค้า(ไทย)และนางอรนุชผการัตน์ รองประธานฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว
                  ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมั่นใจว่าผู้ประกอบการธุรกิจภาคบริการจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง10 ประเทศ สามารถอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนสามารถเปิดเสรีการค้าบริการได้ครบทุกสาขาภายในปี.. 2558 ซึ่งจะเป็นการลด/เลิกกฎระเบียบหรือมาตรการที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์”

http://www.happynow.in.th/happy-news/30-pr-news/277-dep.html

กรมส่งเสริมการส่งออก ดันธุรกิจบริการสุขภาพและความงามไทย สู่อาเซียน

copyนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย สมาคม สปาไทย สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร ฯลฯ แถลงข่าวเตรียมพร้อมการจัดงานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม 2554 (Thailand Health and Beauty Show 2011 : HBS 20111) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2554 ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

กรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหลากองค์กรพันธมิตร อาทิ สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย สมาคมสปาไทย สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ แสดงศักยภาพและความพร้อมด้วย งานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม 2554 (Thailand Health and Beauty Show 2011 : HBS 20111) โชว์ความยิ่งใหญ่ระดับอาเซียน ระดมผู้ประกอบการกว่า 300 คูหา หวังสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 200,000 ล้านบาท
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ธุรกิจบริการสุขภาพและความงามเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพด้านการส่งออกสูง โดยผ่านมาธุรกิจบริการรักษาพยาบาลมีการเติบโตที่น่าสนใจ ด้วยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการถึง 1.4 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 110,000 ล้านบาท ทางด้านธุรกิจ สปามีชาวต่างชาติเดินทางมาใช้บริการในเมืองไทยกว่า 3 ล้านคน ทำรายได้กว่า 15,000 ล้านบาท   ในส่วนธุรกิจเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าการส่งออก 65,000 ล้านบาท อีกกลุ่มธุรกิจที่มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันคือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกทั้งคุณภาพและมาตรฐาน ทำให้มีแนวโน้นการส่งออกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุนี้ กรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้เร่งส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของภาคอุตสาหรรมในตลาดการค้าหลักทั้งยุโรป และ อเมริกา และตลาดใหม่ อาทิ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์บริการสุขภาพและความงามของไทยเป็นที่ยอมรับและเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ ดังนั้น จึงได้แสดงความพร้อมของประเทศ ด้วยการจัดงานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม 2554 หรืองาน Thailand Health and Beauty Show 2011 ในวันที่  30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2554 ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรพันธมิตรมากมาย เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานส่งเสริมธุรกิจบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนการบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไท สมาคมสปาไทย สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร สมาคมอาหารเสริมสุขภาพ สมาคมเสริมความงามแห่งประเทศไทย สมาคมเสริมสวยแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย
 เพื่อมุ่งให้เป็นเวทีการค้าเชิงธุรกิจระดับภูมิภาคอาเซียน เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น
ศูนย์กลางทางการค้า/บริการธุรกิจสุขภาพและความงามในเอเชีย และเป็นเวทีการค้าสากลที่เปิดโอกาสให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และผู้ให้บริการได้พบปะเจรจาการค้ากับผู้ซื้อ/ผู้นำเข้าจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจสินค้าและบริการไทยให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้
นอกจากนี้ การจัดงานดังกล่าว ไม่เพียงแต่ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจแล้ว ยังเพิ่มเติมกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจ สำหรับผู้บริโภคทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมงาน อาทิ Showcase จำลองธุรกิจสปา ,การให้ความรู้ด้านสมุนไพรไทย รวมถึงการจัด Talk show เกี่ยวกับสุขภาพและความงามจากผู้เชี่ยวชาญ โดยคาดว่าจะมีนักธุรกิจ ผู้ซื้อ ผู้นำเข้าให้ความสนใจเข้าชมงานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม 2554 ไม่น้อยกว่า 20,000 ราย จากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ประเทศตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา ฯลฯ เชื่อมั่นว่า งานแสดงสินค้าธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม 2554 จะเป็นเวทีการค้าและเวทีแห่งโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการไทย และจะช่วยผลักดันรายได้และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของธุรกิจบริการสุขภาพและความงามของไทยปี 2554 ทะลุผ่าน 200,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าการสั่งซื้อในวันเจรจาธุรกิจรวม ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท”  นางนันทวัลย์ กล่าวในที่สุด
สายตรงผู้ส่งออก  1169

No comments:

CDD Photo Album