Tuesday 10 September 2013

911...Top Ten of the World...????..forever?












10 Sep 13 สำนักงาน ปปง.ส่งรายชื่อผู้ถูกกำหนด ตามมาตรา 4 และ 5 แห่ง พรบ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินการก่อการร้าย เพื่อให้ตรวจสอบรายชื่อ และระมัดระวังในการปฏิบัติราชการ
            
รายละเอียดตามเอกสารแนบท้าย
  Attachment : ปปง 4.rar (กดปุ่มขวาของ mouse ที่ชื่อ file, หากต้องการพิมพ์หรือ save file)
Posted By :  นางจินตนา ศรีสรินทร์  [กองคลัง กรมการพัฒนาชุมชน] - 10 Sep 13 14:35










สนับสนุนการเงิน"ก่อการร้าย" โทษหนัก จำคุกสูงสุด 10 ปี บริษัทร่วมโดน2ล้าน กม.บังคับใช้แล้ว

วันที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 15:19:20 น.
  

มติชนออนไลน์ รายงาน เมื่อวันที่ 2  ก.พ. 2556  พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ..  2556 ได้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย


เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ถึงแม้ประเทศไทยจะมีการกำหนดความผิดฐานก่อการร้ายไว้ในประมวลกฎหมายอาญา และกำหนดให้เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้วก็ตาม แต่ยังคงไม่มีมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการเข้าถึงเงินทุนของผู้ก่อการร้าย

ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการในการป้องกัน และปราบปรามเรื่องดังกล่าว โดยให้มีการจัดทำรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด การระงับการดำเนินการกับทรัพย์สิน ของผู้มีชื่ออยู่ในรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด การกำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้มีชื่ออยู่ในรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด การกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องดังกล่าวข้างต้น ตลอดจนการกำหนดโทษ

สำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการร่วมมือกันเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำใดที่เป็นการก่อการร้าย ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือกรณีอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์จะนำไปใช้ในการก่อการร้าย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้


ทั้งนี้ บทลงโทษ มาตรา 16 ระบุว่า

มาตรา 16  ผู้ใดจัดหา รวบรวม หรือดำเนินการทางการเงินหรือทรัพย์สินหรือดำเนินการ ด้วยประการใด ๆ โดยรู้อยู่แล้วว่าผู้ได้รับประโยชน์ทางการเงินหรือทรัพย์สินหรือจากการดำเนินการนั้น เป็นบุคคลที่ถูกกำหนด หรือโดยเจตนาให้เงินหรือทรัพย์สินหรือการดำเนินการนั้นถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุน

การดำเนินกิจกรรมใด ๆ ของบุคคลที่ถูกกำหนดหรือของบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน หรือสมคบกันในการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในการกระทำความผิดนั้น

ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่ได้กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสามต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงสองล้านบาท

ในกรณีที่การกระทำความผิดของนิติบุคคลตามวรรคสี่เกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของบุคคลใด หรือไม่สั่งการ หรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งมี อำนาจตามกฎหมายในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น บุคคลดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 
ให้ความผิดตามมาตรานี้ เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน




http://www.thairath.co.th/content/pol/367197


หากย้อนไปเดือนมีนาคม 2550 ประเทศไทยได้เข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายจากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force) หรือ FATF ได้ออกประกาศจัดให้ประเทศไทย มีความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ส่วนหนึ่งมาจากการขาดการกํากับดูแลมาตรฐานสากลในด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ( AML/CFT ) ที่เข้มข้น
หมายรวมถึงการกํากับดูแลสถาบันการเงิน และผู้มีหน้าที่รายงานการทําธุรกรรมอันทําให้สถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานการทําธุรกรรมมีความเสี่ยงใน “การฟอกเงิน” โดยอาชญากร จึงอาจส่งผลเสียหายแก่การทําธุรกิจและก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
จากปัญหาดังกล่าว ได้ส่งผลให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กระทรวงยุติธรรม พยายามเร่งเคลียร์ปัญหาข้อบกพร่องในข้อกฎหมายทั้ง  2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ตามที่ FATF ให้คำแนะนำมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี กระทั่งมาถึงปี พ.ศ. 2556 จึงมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2556 (มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2556)
ภายหลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ต่อมา พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง.ได้เดินทางไปร่วมประชุมกับคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF) เมื่อวันที่ 18 ก.พ.56 พร้อมได้เสนอต่อที่ประชุมใหญ่คณะทำงานเฉพาะกิจ FATF ที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขอให้ ปลดประเทศไทยออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีข้อบกพร่อง จึงส่งผลทำให้ทางคณะทำงานเฉพาะกิจ FATF จึงต้องส่งทีมงานมาตรวจสอบในประเทศไทยตามที่ได้ยื่นข้อเสนอที่ประชุมดังกล่าว
ความพยายามที่จะให้ประเทศไทยถูกถอดชื่อออกจากประเทศกลุ่มเสี่ยงนั้น พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า กระบวนการที่ FATF จะถอนไทยออกจากบัญชีดำได้อย่างสมบูรณ์นั้น จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยดำเนินการบังคับใช้กฎหมายและดำเนินการอื่น ๆ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการกำกับดูแลและตรวจสอบให้สถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานธุรกรรม ให้ปฏิบัติตามกฎหมายทั้งสองฉบับ และอนุบัญญัติอย่างจริงจัง รวมไปถึงการตรวจข้อมูลว่าสามารถบังคับใช้กฎหมายเรื่องการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพหรือไม่
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ส่วนหนึ่งว่าด้วยความร่วมมือในการกำหนดมาตรการให้สถาบันการเงินต่าง ๆ มีหน้าที่รายงานธุรกรรมขนาดใหญ่ที่มีสาระสำคัญในการทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก่อการร้ายของประเทศไทย และรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายตามอนุสัญญาของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN) เพื่อส่งให้สถาบันการเงินหรือธนาคารตรวจสอบและระงับการทำธุรกรรมทางการเงิน ถ้าธนาคารละเลยไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษปรับ 1 ล้านบาทต่อครั้ง และปรับวันละ 1 หมื่นบาท รวมทั้งมีโทษทางอาญา นอกจากนี้พนักงานธนาคารที่ทำธุรกรรมให้กับบุคคลในบัญชีก่อการร้าย จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 3 แสนบาท
อย่างไรก็ดีนอกจากจะมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบการทำงานในประเทศไทยแล้ว ขณะนี้ทาง พ.ต.อ.สีหนาท เลขาฯปปง. ยังได้ประสานไปยังกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ให้ส่งรายชื่อบุคคล คณะบุคคล นิติบุคคล หรือองค์กร  ซึ่งเป็น ผู้ที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้าย ตามมติของหรือประกาศภายใต้คณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ  (UN) มายังสำนักงาน ปปง. รวมทั้งสิ้น 291 ราย (แบ่งเป็นบุคคลธรรมดา 227 ราย และเป็นกลุ่มองค์กรหรือนิติบุคคล 64 ราย) เป็นผู้ที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายตามมติของหรือประกาศภายใต้คณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นบุคคลที่ถูกกำหนด ที่ 1/2556
ทั้งนี้ รมว.ยุติธรรม ได้เป็นผู้ลงนามในคำสั่งดังกล่าว ตามความใน มาตรา 4  แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ.2556 ประกอบข้อ 3 ของกฎกระทรวงการกำหนดให้ผู้มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายตามมติของหรือประกาศภายใต้คณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นบุคคลที่ถูกกำหนด พ.ศ. 2556 ซึ่งภายหลังมีการประกาศบังคับใช้กฏหมาย ได้ประกาศรายชื่อผู้ก่อการร้ายสากล ตามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ส่งมานั้น เบื้องต้นจากการตรวจสอบยังไม่พบความเชื่อมโยงคนไทย แต่ทุกสถาบันการเงินต้องตรวจสอบย้อนไป 5 ปีหากพบความผิดปกติต้องรายงาน ปปง.ทันที
นับเป็นโอกาสดี ในช่วงวันที่ 7-8 พ.ค. 56 ที่ผ่านมา คณะผู้เชี่ยวชาญจาก FATF จำนวน 6 คน ได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อประเมินความพร้อมทั้งในด้านกฎระเบียบ กลไก และความเข้าใจกฎระเบียบของหน่วยงาน ผู้ปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง และรับฟังการดำเนินงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของประเทศไทย เพื่อนำผลการประเมินทั้งหมดไปพิจารณาการประชุมของ FATF ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิ.ย.56 ซึ่งค่อนข้างมั่นใจเชื่อมั่นว่าประเทศไทยน่าจะผ่านการประเมินและถูกปลดล็อกจากรายชื่อประเทศกลุ่มเสี่ยงอย่างแน่นอน
เลขาฯปปง. กล่าวด้วยว่า รายชื่อบุคคลที่เป็นคนไทย ที่ไปเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายในประเทศไทย ขณะนี้มีข้อมูลทั้งสิ้น 67 ราย ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ก่อความไม่สงบทางภาคใต้ ปัจจุบันมีบุคคลตามหมายจับอยู่ 4,000 กว่าราย ซึ่งต้องคดีก่อการร้ายและยังมีการเคลื่อน ไหวก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง สำหรับในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเคลื่อนไหวทางการเงิน ในช่วงปี พ.ศ. 2552-54 หากคำนวณเป็นจำนวนเงินสูงนับหมื่นล้านบาท ทำให้ตอบโจทก์ได้ว่ามีเงินสนับสนุนก่อการร้ายจริง
ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้มาจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ แต่มาจากการทำรายงานประเมินความเสี่ยงของประเทศจากเหตุก่อการร้ายโดย ปปง.ที่เรียกว่า  NRA ขณะนี้ทาง ปปง.อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเข้าที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรม เพื่อส่งศาลแพ่งพิจารณาประกาศเป็นผู้ก่อการร้ายในไทย จากนั้นทางสถาบันการเงินต้องมีการตรวจสอบ หรือระงับการทำธุรกรรมและรายงานให้ ปปง.ทราบทันที.
สุดารัตน์ งานพิรุณตระกูล รายงาน

ปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย : แนวทางการแก้ไขด้านการทหารและความมั่นคง
โดย วีระศักดิ์ นาทะสิริ15 มิถุนายน 2556 15:11 น.
       โดย...วีระศักดิ์ นาทะสิริ1
      
       1. สถานการณ์การก่อการร้ายของประเทศไทยในปัจจุบัน
      
       1.1 การจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายของโลก
      
       ถ้าได้ทราบว่า ไทยเป็นประเทศหนึ่งในสิบของโลก (Top Ten of the World) เราก็ต้องตื่นเต้นและประหลาดใจว่า รัฐบาลได้ไปทำอะไรมาจึงทำให้อันดับของประเทศไทยพุ่งขึ้นไปถึงหนึ่งในสิบของโลก แต่เมื่อเราได้เห็นดัชนีผลกระทบจากการก่อการร้าย (Global Terrorism Index) ที่สถาบันเศรษฐกิจและสันติภาพ (The Institute for Economics and Peace) ได้จัดทำขึ้นในปี 2012 ดังที่แสดงในตารางที่ 1 หลายท่านก็คงเข้าใจได้ทันทีว่า ประเทศไทยของเราได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายเป็นอันดับที่แปดของโลก
       คำอธิบาย
      
       - อันดับที่หนึ่ง ถึงอันดับที่สิบสาม หรือสีเลือดหมูหมายถึง ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายสูงที่สุด (Highest Impact of Terrorism)
      
       - อันดับที่ต่ำสุด (อันดับที่ 116) หรือสีเขียว หมายถึง ประเทศที่ไม่มีความเสี่ยงหรือไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการก่อการร้าย (No Impact of Terrorism)
      
       1 ปัจจุบันผู้เขียนทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
      
       1.2 สถิติการก่อการร้ายของประเทศไทยในระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2556
       ข้อมูลในตารางที่ 1 และ 2 ได้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งก่อนและหลังการพูดคุยสันติภาพ Peace Talk ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยซึ่งมีพลโทภราดร พัฒนถาบุตร เป็นหัวหน้าคณะกับนายฮัสซัน ตอยิบ ตัวแทนกลุ่ม BRN เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สถานการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะเกิดความสงบสันติได้อย่างที่หวัง ซึ่งอาจประมาณการได้ดังนี้
      
       ประการแรก กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว อาจมีกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ (รวมทั้งกลุ่มอาชญากรรมต่างๆ) ที่เป็นอิสระไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่ม BRN ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยกับการพูดคุยสันติภาพของกลุ่ม BRN
      
       ประการที่สอง ถ้ามองในแง่ลบ เป็นไปได้ว่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธจะปฏิบัติการก่อการร้ายเพิ่มมากขึ้นต่อไปเพื่อกดดันรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของไทยให้ยินยอมตามความต้องการของฝ่ายการเมืองของกลุ่ม BRN ซึ่งได้เสนอผ่าน Youtube ให้คนไทยได้รับทราบกันไปไม่นานมานี้
      
       ประการสุดท้าย กลุ่มก่อการร้ายได้เพิ่มการปฏิบัติการรุนแรงและโหดเหี้ยมมากขึ้นโดยไม่เลือกเป้าหมาย และมุ่งขจัดหรือสร้างความหวาดกลัวต่อประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและไม่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้าย เพื่อลดจำนวนประชาชนที่ต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายโดยไม่เลือกว่านับถือศาสนาใด (คงมุ่งหวังหรือต้องการให้อพยพออกไปจากพื้นที่) และในทางตรงกันข้ามก็จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนของประชาชนที่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ โดยมุ่งหวังว่า ถ้ารัฐบาลไทยโอนอ่อนยินยอมให้มีการปกครองตนเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือเป็นเขตปกครองพิเศษที่มีการเลือกผู้บริหารโดยตรงจากประชาชนในพื้นที่ กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ (BRN และกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ) ก็เชื่อมั่นว่า จะมีกลุ่มประชาชนที่ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้ตัวแทนของกลุ่มก่อการร้าย (BRN และกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ) ได้รับเลือกเข้ามาเป็นผู้บริหารเขตปกครองพิเศษในอนาคต
      
       ดังนั้น การพูดคุยสันติภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เป็นเครื่องมือเพียงประการเดียวที่จะสามารถยุติการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ท่านเลขาธิการ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) เชื่อและเข้าใจ เพราะยังมีเครื่องมืออื่นๆ2 ที่รัฐจะต้องนำมาใช้ร่วมกับการพูดคุยสันติภาพ เช่น มาตรการทางทหารในการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มาตรการการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลเพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ นอกเหนือจากศาสนา และเพื่อพัฒนาประชาชนให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มาตรการการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและเพิ่มความต้องการแรงงานในทุกระดับความรู้ และมาตรการการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมเพื่อให้ประชาชนที่นับถือศาสนาและวัฒนธรรมที่ต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเคารพในสิทธิและความเชื่อของบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม
      
       2. ยุทธวิธีที่เป็นที่นิยมของกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
      
       2.1 การวางเพลิง Arsons เป็นวิธีการที่ไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน ไม่มีความเสี่ยงจากความผิดพลาดทางเทคนิคเพราะเป็นเรื่องพื้นๆ ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นการวางเพลิง การทำลายโทรทัศน์วงจรปิด การวางตะปูเรือใบ การตัดต้นไม้ขวางถนน การให้สัญญาณหรือการแจ้งเตือน จึงเป็นการฝึกการก่อการร้ายในขั้นต้นก่อนที่จะเริ่มการใช้อาวุธปฏิบัติการที่รุนแรงขึ้นในขั้นต่อไป
      
       2.2 การลอบสังหารบุคคลเป้าหมาย Assassination เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมมาก ซึ่งมักจะมุ่งกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอหรือเป้าหมายที่ไม่มีการป้องกันตนเองเพราะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
      
       2 ความขัดแย้งในศรีลังกาได้ใช้ทั้งมาตรการทางการเมือง การเจรจา และได้มีการหยุดยิงในปี 2006 แต่ในที่สุดต้องใช้มาตรการทางทหารจึงจะสามารถยุติความขัดแย้งได้ (ดูSri Lanka Civil WarในWikipedia) สูง เช่น การยิงครูและบุคลากรทางการศึกษา ใช้มีดฟันพระภิกษุ การสังหารข้าราชการพลเรือน พ่อค้าหาบเร่ และเด็ก ผู้หญิง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมุ่งกระทำต่อคนไทยที่นับถืออิสลามแต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการที่รุนแรงเหี้ยมโหดของกลุ่มก่อการร้าย เช่น การบุกเข้าไปยิงครูชลธี เจริญชล (ซึ่งนับถืออิสลาม) ต่อหน้านักเรียนในโรงเรียน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 เป็นต้น
      
       2.3 การเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหาร Raids หรือสถานที่ทำการของหน่วยงานรัฐ คือ การรวมกำลังของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหาร สถานีตำรวจ และสำนักงานที่ทำการของหน่วยงานรัฐ เพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยึดอาวุธและทรัพย์สินสิ่งของต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มก่อการร้าย เช่น การโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547, การบุกโจมตี ร้อย ร. 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2554 และการเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการปล.ที่ 2 ฉก.นย. 32 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556
      
       2.4 การซุ่มโจมตี Ambushes มักจะเป็นการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อทำลายเป้าหมายรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มซึ่งได้แก่ การซุ่มโจมตีรถของบุคคลสำคัญ ขบวนรถบรรทุกทหารและบรรทุกสัมภาระ และขบวนรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวนหรือรักษาความปลอดภัยครู ตัวอย่างเช่น การซุ่มโจมตีขบวนรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวน 3 คันของทหารพรานบนถนนปัตตานี-ยะลา ตำบลแม่ลาน จังหวัดปัตตานีซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นาย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 (จากBangkok Post Online)
      
       2.5 การวางระเบิด Bombings โดยใช้ระเบิดประกอบเฉพาะกิจ หรือระเบิดแสวงเครื่องซึ่งมีคำ ย่อว่า IEDs (Improvised Explosive Devices) วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้ทั้งในอิรัก อัฟกานิสถาน และรวมทั้งในประเทศไทยของเรา เนื่องจากวัสดุที่นำมาประกอบระเบิดมีราคาไม่แพง จึงไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการจัดทำขึ้นเองโดยใช้เวลาเรียนรู้เพียง 2-3 สัปดาห์ สามารถจัดทำในขนาดที่เหมาะสมต่อเป้าหมายหรือต่อการใช้งานตามลักษณะของสถานที่ต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังสะดวกในการพกพาไปในที่ต่างๆ โดยไม่เป็นที่สังเกตอีกด้วย ดังนั้นกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงนิยมที่จะใช้การวางระเบิดเพื่อทำลายทรัพย์สิน และบุคลากรของรัฐและเอกชน (ดูตารางที่ 2 จะเห็นว่าการสูญเสียชีวิตจากการวางระเบิด จะอยู่ในลำดับที่ 2 รองจากการลอบยิงเท่านั้น)
      
       2.6 การวางระเบิดและซุ่มโจมตี Bombings & Ambushes เป็นวิธีการที่ผสมกันระหว่างการวางระเบิดและการซุ่มโจมตี เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอิรัก และอัฟกานิสถาน ในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วยเช่นกัน กลุ่มก่อการร้ายในไทยเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว (คาดว่าน่าจะมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศได้เข้ามาให้การอบรมสั่งสอน) และนำไปปฏิบัติจนสามารถทำลายเป้าหมายที่เป็นบุคคลสำคัญของหน่วยงานรัฐได้หลายครั้ง เช่น การวางระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2556 และการวางระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร. 15123 ฉก.นราธิวาส 30 บนถนนสายปูโป-บือเจาะบองอ ต.สาวอ ทำให้ร.อ.ศิวิช ศรีอุปโย เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 เป็นต้น
      
       3. ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในด้านการทหารและความมั่นคงของชาติ
      
       ผู้เขียนเชื่อว่า มาตรการด้านการทหารและความมั่นคงไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะสามารถแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้ากลุ่มก่อการร้ายใช้ยุทธวิธีทางทหาร เช่น การลอบยิง การซุ่มโจมตี และการวางระเบิดเพื่อสังหารประชาชนและเจ้าหน้าที่จนก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมายดังข้อมูลที่แสดงในตารางที่ 2 ก็อยากถามว่า รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของรัฐจะนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ตอบโต้หรือไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยหรือ
      
       มีหลายท่านที่มีความเชื่ออย่างผิดๆ และชอบอ้าง (โดยไม่ได้ศึกษาหรือไม่ได้เรียนรู้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต) ว่า การเจรจาหรือพูดคุยสันติภาพเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถยุติเหตุการณ์ความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ซึ่งผู้เขียนขอแย้งว่าไม่เป็นความจริงโดยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเช่น ที่ศรีลังกาได้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวสิงหลที่เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม กับชาวทมิฬที่อพยพมาจากแคว้นทมิฬนาดูในอินเดียตอนใต้ จนเกิดการสู้รบหลายครั้งและมีการเจรจาหยุดยิงในปี 2002 แต่ในที่สุดก็เกิดการสู้รบขึ้นอีกในปี 2006 และในปี 2009 กองทัพศรีลังกาก็ได้รับชัยชนะสามารถยุติการสู้รบ (การต่อสู้ที่ใช้อาวุธ) ได้อย่างเด็ดขาด
      
       สำหรับตัวอย่างต่อมาเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลรัสเซียกับชาวเชชเนียที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนปกครองตนเอง ทำให้เกิดการสู้รบกันหลายครั้ง มีการเจรจายุติการสู้รบ แต่ในที่สุดก็เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้นอีกในปี 1999 และในปี 2000 การทำสงครามตามแบบระหว่างรัสเซียกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชชเนียก็ยุติลง แต่ได้แปรสภาพเป็นการก่อการร้าย ต่อมาในปี 2009 กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชชเนียซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจากการก่อการร้าย (คาดว่าคงได้รับความสูญเสียจากการโต้ตอบของกองกำลังของรัสเซีย และของรัฐบาลเชชเนีย) ก็ได้ประกาศยุติการก่อการร้ายหรือการใช้อาวุธอย่างสิ้นเชิง
      
       ส่วนกรณีความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือนั้นมีปัจจัยบางอย่างที่แตกต่างจากทั้งสองตัวอย่างข้างต้น กล่าวคือ มีการกล่าวหาว่า กลุ่ม IRA อาจได้รับประโยชน์จากการให้ความคุ้มครองกลุ่มค้ายาเสพติดและธุรกิจที่ผิดกฎหมาย (Horgan, J. and Taylor, M. pp. 124-152) ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่ม IRA บางส่วนไม่พอใจในการกระทำดังกล่าว และต้องการที่จะเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งที่ใช้อาวุธ และที่สำคัญคือในเดือนสิงหาคม ปี 2001 ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกอบระเบิดของ IRA (Irish Republican Army) 3 คนที่ไปช่วยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน FARC (หรือ People’s Army) ได้ถูกจับที่Colombia ซึ่งการที่กลุ่มหัวรุนแรงของ IRA ได้ถูกจับในเหตุการณ์ต่างๆ อาจมีผลทำให้การเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือบรรลุผลได้ง่ายขึ้น
      
       จากกรณีตัวอย่างทั้ง 3 จะเห็นว่า การใช้มาตรการทางทหารเพื่อยุติการใช้ความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ (ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นยาแรงที่ใช้กับอาการไข้ที่รุนแรง) ยังมีความจำเป็นและเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะยับยั้งหรือขจัดการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างเป็นผล แต่ต้องใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ซึ่งผู้เขียนมีข้อเสนอแนะเพื่อรัฐบาลและหน่วยต่างๆ ได้นำไปพิจารณา ดังนี้
      
       3.1 ข้อเสนอแนะด้านความมั่นคงของชาติ
      
       3.1.1 รัฐบาลต้องมีความจริงใจและมีความกล้าที่จะแก้ไขปัญหานี้ หมายความว่า รัฐบาลจะต้องไม่กลัว ไม่ขี้ขลาด ต้องกล้าประณามการกระทำที่โหดเหี้ยมของกลุ่มก่อการร้าย เช่น การสังหารประชาชน 6 ศพ โดยการจ่อยิงทีละคนซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วยที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556
      
       3.1.2 รัฐบาลควรออกกฎหมายห้ามประชาชนไทยถือสองสัญชาติ ถ้าบุคคลใดถือสองสัญชาติจะต้องถูกยกเลิกสิทธิการมีสัญชาติไทยทันทีที่มีหลักฐานแสดงการถือสัญชาติอื่น และควรระงับการโอนสัญชาติอื่นมาเป็นสัญชาติไทยเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี
      
       3.1.3 รัฐบาลควรจัดทำประชามติถามประชาชนทั้งประเทศว่าจะให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แบ่งแยกออกจากประเทศไทยไปปกครองตนเองเป็นรัฐอิสระหรือไม่ เพื่อให้ได้ฉันทามติในการแก้ไขปัญหานี้
      
       3.2 ข้อเสนอแนะด้านการทหาร 
      
       3.2.1 ไทยต้องพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ (กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกองทัพของอิสราเอล โดยเฉพาะกองทัพอากาศจะต้องได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการให้ความคุ้มครองการปฏิบัติภารกิจของทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือได้ในทุกพื้นที่เนื่องจากไทยมีพรมแดนติดต่อกับหลายประเทศที่มีปัญหาและมีข้อพิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงในอนาคต การมีกองทัพที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ยับยั้งไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามข่มขู่และมุ่งที่จะใช้กำลังกับประเทศไทยเพียงวิธีเดียว
      
       3.2.2 กองทัพเรือควรได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสมารถในการป้องกันและทำลายเส้นทางการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายจากต่างประเทศทั้งในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก
      
       3.2.3 กองทัพบกควรจัดตั้งหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายเป็นการเฉพาะเพื่อให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการขจัดหรือทำลายการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ โดยให้หน่วยอื่นๆ ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน
      
       3.2.4 กองทัพควรจัดตั้งชุดป้องกันภัยของหมู่บ้านซึ่งมีทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองเป็นแกนร่วมกับชาวบ้าน (ควรพัฒนาชุดรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านหรือชรบ.ขึ้นใหม่) และจัดฝึกอบรมการใช้อาวุธเพื่อให้ทำหน้าที่ช่วยเหลือทหารและตำรวจในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหมู่บ้าน
      
       3.2.5 กองทัพบกจะต้องจัดทำคู่มือการต่อต้านการวางระเบิด รวมทั้งคู่มือการต่อต้านการก่อการร้ายที่ทันสมัย เพื่อใช้อบรมกำลังพลทุกนายที่จะต้องไปปฏิบัติงานในพื้นที่ได้เรียนรู้ เข้าใจ จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นผล
      
       3.2.6 กองทัพต้องจำกัดเสรีในการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้าย เพราะถ้ากลุ่มก่อการร้ายมีเสรีในการปฏิบัติมากเพียงใด ก็จะสร้างความสูญเสียต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการที่ ผบ.ทบ.เสนอให้สร้างรั้วตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย ต้องขอชมว่าเป็นความคิดริเริ่มที่ดีที่จะจำกัดเสรีในการดำเนินการต่างๆ ของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน
      
       อย่างไรก็ดี แม้ข้อเสนอให้สร้างรั้วเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนจากการสร้างรั้วมาเป็นกำแพงขนาดใหญ่เช่นเดียวกับกำแพงเมืองจีน โดยมีความสูงไม่ต่ำกว่า 8 เมตร และกว้างไม่ต่ำกว่า 6 เมตรโดยจุด เริ่มต้นของกำแพงนี้ควรเริ่มจากชายแดนไทย-มาเลเซีย จังหวัดสตูล ผ่านยะลา และไปจดอ่าวไทยที่จังหวัดนราธิวาส รวมระยะทางประมาณ 506 กิโลเมตร (ดูรูปที่ 1) บนกำแพงควรสร้างให้แข็งแรงแบบทางด่วนในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการขนส่งหรือขนย้ายเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น เช่น กรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ หรือภัยทางธรรมชาติ เป็นต้น และควรมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในจุดที่สำคัญตามแนวกำแพงนี้ด้วย
       นอกจากนี้การมีกำแพงขนาดใหญ่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลย์ไม่เพียงเป็นเครื่องช่วยสกัดกั้นการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีหรือสิ่งผิดกฎหมายเข้าประเทศ เช่น การลักลอบนำน้ำมันหนีภาษี และยาเสพติดเข้าไทย แต่ยังสามารถใช้ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย และยังจะสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศได้อีกด้วย
      
       4. สรุป
      
       การเสนอแนวความคิดให้จัดสร้างรั้วหรือกำแพงเมืองไทย มีหลายท่านคงคิดว่า ผู้เสนอแนวคิดนี้คงจะเพี้ยนไป จึงขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หนึ่งในผู้สร้างกำแพงเมืองจีนคือ ฉินซือหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนผู้รวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นและมีความมั่นคงจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ไทยจะมีโครงการสร้างกำแพงเมืองไทยเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เช่นเดียวกับที่จีนได้เคยทำมาในอดีตผู้เขียนจึงขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้รีบจัดทำโครงการสร้างกำแพงเมืองไทย (The Great Wall of Thailand) ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อขจัดปัจจัยที่สนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มผิดกฎหมายต่างๆ ให้ลดลงหรือหมดสิ้นไป
      
       สำหรับความเป็นมาของปัญหา กลยุทธ์ของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน และข้อเสนอแนะอื่นๆ กรุณาดูในรายงานผลการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร (ระหว่างวันที่ 6 กันยายน - วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555) ครั้งที่ 1 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาในด้านการทหารและความมั่นคงของชาติ
      
       เอกสารอ้างอิง
      
       1. Horgan, J. and Taylor, M. “Insurgency in Ireland: A preliminary analysis of the Provisional IRA ceasefire - 1994-1996”, in Albrecht Schnabel and Rohan Gunaratna, Understanding and Managing Insurgent Movements, Singapore: Marshall Cavendish International, 2006, pp. 124-152.
      
       2. Institute for Economics & Peace. “2012 Global Terrorism Index: Capturing the Impact of Terrorism for the Last Decade”, Sydney and New York, 2012.







ปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย : แนวทางการแก้ไขด้านการทหารและความมั่นคง
โดย วีระศักดิ์ นาทะสิริ15 มิถุนายน 2556 15:11 น.
       โดย...วีระศักดิ์ นาทะสิริ1
      
       1. สถานการณ์การก่อการร้ายของประเทศไทยในปัจจุบัน
      
       1.1 การจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายของโลก
      
       ถ้าได้ทราบว่า ไทยเป็นประเทศหนึ่งในสิบของโลก (Top Ten of the World) เราก็ต้องตื่นเต้นและประหลาดใจว่า รัฐบาลได้ไปทำอะไรมาจึงทำให้อันดับของประเทศไทยพุ่งขึ้นไปถึงหนึ่งในสิบของโลก แต่เมื่อเราได้เห็นดัชนีผลกระทบจากการก่อการร้าย (Global Terrorism Index) ที่สถาบันเศรษฐกิจและสันติภาพ (The Institute for Economics and Peace) ได้จัดทำขึ้นในปี 2012 ดังที่แสดงในตารางที่ 1 หลายท่านก็คงเข้าใจได้ทันทีว่า ประเทศไทยของเราได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายเป็นอันดับที่แปดของโลก
       คำอธิบาย
      
       - อันดับที่หนึ่ง ถึงอันดับที่สิบสาม หรือสีเลือดหมูหมายถึง ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายสูงที่สุด (Highest Impact of Terrorism)
      
       - อันดับที่ต่ำสุด (อันดับที่ 116) หรือสีเขียว หมายถึง ประเทศที่ไม่มีความเสี่ยงหรือไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการก่อการร้าย (No Impact of Terrorism)
      
       1 ปัจจุบันผู้เขียนทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
      
       1.2 สถิติการก่อการร้ายของประเทศไทยในระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2556
       ข้อมูลในตารางที่ 1 และ 2 ได้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งก่อนและหลังการพูดคุยสันติภาพ Peace Talk ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยซึ่งมีพลโทภราดร พัฒนถาบุตร เป็นหัวหน้าคณะกับนายฮัสซัน ตอยิบ ตัวแทนกลุ่ม BRN เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สถานการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะเกิดความสงบสันติได้อย่างที่หวัง ซึ่งอาจประมาณการได้ดังนี้
      
       ประการแรก กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว อาจมีกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ (รวมทั้งกลุ่มอาชญากรรมต่างๆ) ที่เป็นอิสระไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่ม BRN ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยกับการพูดคุยสันติภาพของกลุ่ม BRN
      
       ประการที่สอง ถ้ามองในแง่ลบ เป็นไปได้ว่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธจะปฏิบัติการก่อการร้ายเพิ่มมากขึ้นต่อไปเพื่อกดดันรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของไทยให้ยินยอมตามความต้องการของฝ่ายการเมืองของกลุ่ม BRN ซึ่งได้เสนอผ่าน Youtube ให้คนไทยได้รับทราบกันไปไม่นานมานี้
      
       ประการสุดท้าย กลุ่มก่อการร้ายได้เพิ่มการปฏิบัติการรุนแรงและโหดเหี้ยมมากขึ้นโดยไม่เลือกเป้าหมาย และมุ่งขจัดหรือสร้างความหวาดกลัวต่อประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและไม่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้าย เพื่อลดจำนวนประชาชนที่ต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายโดยไม่เลือกว่านับถือศาสนาใด (คงมุ่งหวังหรือต้องการให้อพยพออกไปจากพื้นที่) และในทางตรงกันข้ามก็จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนของประชาชนที่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ โดยมุ่งหวังว่า ถ้ารัฐบาลไทยโอนอ่อนยินยอมให้มีการปกครองตนเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือเป็นเขตปกครองพิเศษที่มีการเลือกผู้บริหารโดยตรงจากประชาชนในพื้นที่ กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ (BRN และกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ) ก็เชื่อมั่นว่า จะมีกลุ่มประชาชนที่ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้ตัวแทนของกลุ่มก่อการร้าย (BRN และกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ) ได้รับเลือกเข้ามาเป็นผู้บริหารเขตปกครองพิเศษในอนาคต
      
       ดังนั้น การพูดคุยสันติภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เป็นเครื่องมือเพียงประการเดียวที่จะสามารถยุติการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ท่านเลขาธิการ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) เชื่อและเข้าใจ เพราะยังมีเครื่องมืออื่นๆ2 ที่รัฐจะต้องนำมาใช้ร่วมกับการพูดคุยสันติภาพ เช่น มาตรการทางทหารในการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มาตรการการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลเพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ นอกเหนือจากศาสนา และเพื่อพัฒนาประชาชนให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มาตรการการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและเพิ่มความต้องการแรงงานในทุกระดับความรู้ และมาตรการการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมเพื่อให้ประชาชนที่นับถือศาสนาและวัฒนธรรมที่ต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเคารพในสิทธิและความเชื่อของบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม
      
       2. ยุทธวิธีที่เป็นที่นิยมของกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
      
       2.1 การวางเพลิง Arsons เป็นวิธีการที่ไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน ไม่มีความเสี่ยงจากความผิดพลาดทางเทคนิคเพราะเป็นเรื่องพื้นๆ ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นการวางเพลิง การทำลายโทรทัศน์วงจรปิด การวางตะปูเรือใบ การตัดต้นไม้ขวางถนน การให้สัญญาณหรือการแจ้งเตือน จึงเป็นการฝึกการก่อการร้ายในขั้นต้นก่อนที่จะเริ่มการใช้อาวุธปฏิบัติการที่รุนแรงขึ้นในขั้นต่อไป
      
       2.2 การลอบสังหารบุคคลเป้าหมาย Assassination เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมมาก ซึ่งมักจะมุ่งกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอหรือเป้าหมายที่ไม่มีการป้องกันตนเองเพราะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
      
       2 ความขัดแย้งในศรีลังกาได้ใช้ทั้งมาตรการทางการเมือง การเจรจา และได้มีการหยุดยิงในปี 2006 แต่ในที่สุดต้องใช้มาตรการทางทหารจึงจะสามารถยุติความขัดแย้งได้ (ดูSri Lanka Civil WarในWikipedia) สูง เช่น การยิงครูและบุคลากรทางการศึกษา ใช้มีดฟันพระภิกษุ การสังหารข้าราชการพลเรือน พ่อค้าหาบเร่ และเด็ก ผู้หญิง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมุ่งกระทำต่อคนไทยที่นับถืออิสลามแต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการที่รุนแรงเหี้ยมโหดของกลุ่มก่อการร้าย เช่น การบุกเข้าไปยิงครูชลธี เจริญชล (ซึ่งนับถืออิสลาม) ต่อหน้านักเรียนในโรงเรียน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 เป็นต้น
      
       2.3 การเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหาร Raids หรือสถานที่ทำการของหน่วยงานรัฐ คือ การรวมกำลังของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหาร สถานีตำรวจ และสำนักงานที่ทำการของหน่วยงานรัฐ เพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยึดอาวุธและทรัพย์สินสิ่งของต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มก่อการร้าย เช่น การโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547, การบุกโจมตี ร้อย ร. 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2554 และการเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการปล.ที่ 2 ฉก.นย. 32 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556
      
       2.4 การซุ่มโจมตี Ambushes มักจะเป็นการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อทำลายเป้าหมายรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มซึ่งได้แก่ การซุ่มโจมตีรถของบุคคลสำคัญ ขบวนรถบรรทุกทหารและบรรทุกสัมภาระ และขบวนรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวนหรือรักษาความปลอดภัยครู ตัวอย่างเช่น การซุ่มโจมตีขบวนรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวน 3 คันของทหารพรานบนถนนปัตตานี-ยะลา ตำบลแม่ลาน จังหวัดปัตตานีซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นาย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 (จากBangkok Post Online)
      
       2.5 การวางระเบิด Bombings โดยใช้ระเบิดประกอบเฉพาะกิจ หรือระเบิดแสวงเครื่องซึ่งมีคำ ย่อว่า IEDs (Improvised Explosive Devices) วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้ทั้งในอิรัก อัฟกานิสถาน และรวมทั้งในประเทศไทยของเรา เนื่องจากวัสดุที่นำมาประกอบระเบิดมีราคาไม่แพง จึงไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการจัดทำขึ้นเองโดยใช้เวลาเรียนรู้เพียง 2-3 สัปดาห์ สามารถจัดทำในขนาดที่เหมาะสมต่อเป้าหมายหรือต่อการใช้งานตามลักษณะของสถานที่ต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังสะดวกในการพกพาไปในที่ต่างๆ โดยไม่เป็นที่สังเกตอีกด้วย ดังนั้นกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงนิยมที่จะใช้การวางระเบิดเพื่อทำลายทรัพย์สิน และบุคลากรของรัฐและเอกชน (ดูตารางที่ 2 จะเห็นว่าการสูญเสียชีวิตจากการวางระเบิด จะอยู่ในลำดับที่ 2 รองจากการลอบยิงเท่านั้น)
      
       2.6 การวางระเบิดและซุ่มโจมตี Bombings & Ambushes เป็นวิธีการที่ผสมกันระหว่างการวางระเบิดและการซุ่มโจมตี เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอิรัก และอัฟกานิสถาน ในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วยเช่นกัน กลุ่มก่อการร้ายในไทยเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว (คาดว่าน่าจะมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศได้เข้ามาให้การอบรมสั่งสอน) และนำไปปฏิบัติจนสามารถทำลายเป้าหมายที่เป็นบุคคลสำคัญของหน่วยงานรัฐได้หลายครั้ง เช่น การวางระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2556 และการวางระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร. 15123 ฉก.นราธิวาส 30 บนถนนสายปูโป-บือเจาะบองอ ต.สาวอ ทำให้ร.อ.ศิวิช ศรีอุปโย เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 เป็นต้น
      
       3. ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในด้านการทหารและความมั่นคงของชาติ
      
       ผู้เขียนเชื่อว่า มาตรการด้านการทหารและความมั่นคงไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะสามารถแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้ากลุ่มก่อการร้ายใช้ยุทธวิธีทางทหาร เช่น การลอบยิง การซุ่มโจมตี และการวางระเบิดเพื่อสังหารประชาชนและเจ้าหน้าที่จนก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมายดังข้อมูลที่แสดงในตารางที่ 2 ก็อยากถามว่า รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของรัฐจะนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ตอบโต้หรือไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยหรือ
      
       มีหลายท่านที่มีความเชื่ออย่างผิดๆ และชอบอ้าง (โดยไม่ได้ศึกษาหรือไม่ได้เรียนรู้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต) ว่า การเจรจาหรือพูดคุยสันติภาพเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถยุติเหตุการณ์ความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ซึ่งผู้เขียนขอแย้งว่าไม่เป็นความจริงโดยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเช่น ที่ศรีลังกาได้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวสิงหลที่เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม กับชาวทมิฬที่อพยพมาจากแคว้นทมิฬนาดูในอินเดียตอนใต้ จนเกิดการสู้รบหลายครั้งและมีการเจรจาหยุดยิงในปี 2002 แต่ในที่สุดก็เกิดการสู้รบขึ้นอีกในปี 2006 และในปี 2009 กองทัพศรีลังกาก็ได้รับชัยชนะสามารถยุติการสู้รบ (การต่อสู้ที่ใช้อาวุธ) ได้อย่างเด็ดขาด
      
       สำหรับตัวอย่างต่อมาเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลรัสเซียกับชาวเชชเนียที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนปกครองตนเอง ทำให้เกิดการสู้รบกันหลายครั้ง มีการเจรจายุติการสู้รบ แต่ในที่สุดก็เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้นอีกในปี 1999 และในปี 2000 การทำสงครามตามแบบระหว่างรัสเซียกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชชเนียก็ยุติลง แต่ได้แปรสภาพเป็นการก่อการร้าย ต่อมาในปี 2009 กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชชเนียซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจากการก่อการร้าย (คาดว่าคงได้รับความสูญเสียจากการโต้ตอบของกองกำลังของรัสเซีย และของรัฐบาลเชชเนีย) ก็ได้ประกาศยุติการก่อการร้ายหรือการใช้อาวุธอย่างสิ้นเชิง
      
       ส่วนกรณีความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือนั้นมีปัจจัยบางอย่างที่แตกต่างจากทั้งสองตัวอย่างข้างต้น กล่าวคือ มีการกล่าวหาว่า กลุ่ม IRA อาจได้รับประโยชน์จากการให้ความคุ้มครองกลุ่มค้ายาเสพติดและธุรกิจที่ผิดกฎหมาย (Horgan, J. and Taylor, M. pp. 124-152) ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่ม IRA บางส่วนไม่พอใจในการกระทำดังกล่าว และต้องการที่จะเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งที่ใช้อาวุธ และที่สำคัญคือในเดือนสิงหาคม ปี 2001 ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกอบระเบิดของ IRA (Irish Republican Army) 3 คนที่ไปช่วยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน FARC (หรือ People’s Army) ได้ถูกจับที่Colombia ซึ่งการที่กลุ่มหัวรุนแรงของ IRA ได้ถูกจับในเหตุการณ์ต่างๆ อาจมีผลทำให้การเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือบรรลุผลได้ง่ายขึ้น
      
       จากกรณีตัวอย่างทั้ง 3 จะเห็นว่า การใช้มาตรการทางทหารเพื่อยุติการใช้ความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ (ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นยาแรงที่ใช้กับอาการไข้ที่รุนแรง) ยังมีความจำเป็นและเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะยับยั้งหรือขจัดการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างเป็นผล แต่ต้องใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ซึ่งผู้เขียนมีข้อเสนอแนะเพื่อรัฐบาลและหน่วยต่างๆ ได้นำไปพิจารณา ดังนี้
      
       3.1 ข้อเสนอแนะด้านความมั่นคงของชาติ
      
       3.1.1 รัฐบาลต้องมีความจริงใจและมีความกล้าที่จะแก้ไขปัญหานี้ หมายความว่า รัฐบาลจะต้องไม่กลัว ไม่ขี้ขลาด ต้องกล้าประณามการกระทำที่โหดเหี้ยมของกลุ่มก่อการร้าย เช่น การสังหารประชาชน 6 ศพ โดยการจ่อยิงทีละคนซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วยที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556
      
       3.1.2 รัฐบาลควรออกกฎหมายห้ามประชาชนไทยถือสองสัญชาติ ถ้าบุคคลใดถือสองสัญชาติจะต้องถูกยกเลิกสิทธิการมีสัญชาติไทยทันทีที่มีหลักฐานแสดงการถือสัญชาติอื่น และควรระงับการโอนสัญชาติอื่นมาเป็นสัญชาติไทยเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี
      
       3.1.3 รัฐบาลควรจัดทำประชามติถามประชาชนทั้งประเทศว่าจะให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แบ่งแยกออกจากประเทศไทยไปปกครองตนเองเป็นรัฐอิสระหรือไม่ เพื่อให้ได้ฉันทามติในการแก้ไขปัญหานี้
      
       3.2 ข้อเสนอแนะด้านการทหาร 
      
       3.2.1 ไทยต้องพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ (กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกองทัพของอิสราเอล โดยเฉพาะกองทัพอากาศจะต้องได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการให้ความคุ้มครองการปฏิบัติภารกิจของทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือได้ในทุกพื้นที่เนื่องจากไทยมีพรมแดนติดต่อกับหลายประเทศที่มีปัญหาและมีข้อพิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงในอนาคต การมีกองทัพที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ยับยั้งไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามข่มขู่และมุ่งที่จะใช้กำลังกับประเทศไทยเพียงวิธีเดียว
      
       3.2.2 กองทัพเรือควรได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสมารถในการป้องกันและทำลายเส้นทางการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายจากต่างประเทศทั้งในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก
      
       3.2.3 กองทัพบกควรจัดตั้งหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายเป็นการเฉพาะเพื่อให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการขจัดหรือทำลายการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ โดยให้หน่วยอื่นๆ ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน
      
       3.2.4 กองทัพควรจัดตั้งชุดป้องกันภัยของหมู่บ้านซึ่งมีทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองเป็นแกนร่วมกับชาวบ้าน (ควรพัฒนาชุดรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านหรือชรบ.ขึ้นใหม่) และจัดฝึกอบรมการใช้อาวุธเพื่อให้ทำหน้าที่ช่วยเหลือทหารและตำรวจในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหมู่บ้าน
      
       3.2.5 กองทัพบกจะต้องจัดทำคู่มือการต่อต้านการวางระเบิด รวมทั้งคู่มือการต่อต้านการก่อการร้ายที่ทันสมัย เพื่อใช้อบรมกำลังพลทุกนายที่จะต้องไปปฏิบัติงานในพื้นที่ได้เรียนรู้ เข้าใจ จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นผล
      
       3.2.6 กองทัพต้องจำกัดเสรีในการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้าย เพราะถ้ากลุ่มก่อการร้ายมีเสรีในการปฏิบัติมากเพียงใด ก็จะสร้างความสูญเสียต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการที่ ผบ.ทบ.เสนอให้สร้างรั้วตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย ต้องขอชมว่าเป็นความคิดริเริ่มที่ดีที่จะจำกัดเสรีในการดำเนินการต่างๆ ของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน
      
       อย่างไรก็ดี แม้ข้อเสนอให้สร้างรั้วเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนจากการสร้างรั้วมาเป็นกำแพงขนาดใหญ่เช่นเดียวกับกำแพงเมืองจีน โดยมีความสูงไม่ต่ำกว่า 8 เมตร และกว้างไม่ต่ำกว่า 6 เมตรโดยจุด เริ่มต้นของกำแพงนี้ควรเริ่มจากชายแดนไทย-มาเลเซีย จังหวัดสตูล ผ่านยะลา และไปจดอ่าวไทยที่จังหวัดนราธิวาส รวมระยะทางประมาณ 506 กิโลเมตร (ดูรูปที่ 1) บนกำแพงควรสร้างให้แข็งแรงแบบทางด่วนในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการขนส่งหรือขนย้ายเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น เช่น กรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ หรือภัยทางธรรมชาติ เป็นต้น และควรมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในจุดที่สำคัญตามแนวกำแพงนี้ด้วย
       นอกจากนี้การมีกำแพงขนาดใหญ่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลย์ไม่เพียงเป็นเครื่องช่วยสกัดกั้นการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีหรือสิ่งผิดกฎหมายเข้าประเทศ เช่น การลักลอบนำน้ำมันหนีภาษี และยาเสพติดเข้าไทย แต่ยังสามารถใช้ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย และยังจะสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศได้อีกด้วย
      
       4. สรุป
      
       การเสนอแนวความคิดให้จัดสร้างรั้วหรือกำแพงเมืองไทย มีหลายท่านคงคิดว่า ผู้เสนอแนวคิดนี้คงจะเพี้ยนไป จึงขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หนึ่งในผู้สร้างกำแพงเมืองจีนคือ ฉินซือหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนผู้รวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นและมีความมั่นคงจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ไทยจะมีโครงการสร้างกำแพงเมืองไทยเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เช่นเดียวกับที่จีนได้เคยทำมาในอดีตผู้เขียนจึงขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้รีบจัดทำโครงการสร้างกำแพงเมืองไทย (The Great Wall of Thailand) ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อขจัดปัจจัยที่สนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มผิดกฎหมายต่างๆ ให้ลดลงหรือหมดสิ้นไป
      
       สำหรับความเป็นมาของปัญหา กลยุทธ์ของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน และข้อเสนอแนะอื่นๆ กรุณาดูในรายงานผลการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร (ระหว่างวันที่ 6 กันยายน - วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555) ครั้งที่ 1 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาในด้านการทหารและความมั่นคงของชาติ
      
       เอกสารอ้างอิง
      
       1. Horgan, J. and Taylor, M. “Insurgency in Ireland: A preliminary analysis of the Provisional IRA ceasefire - 1994-1996”, in Albrecht Schnabel and Rohan Gunaratna, Understanding and Managing Insurgent Movements, Singapore: Marshall Cavendish International, 2006, pp. 124-152.
      
       2. Institute for Economics & Peace. “2012 Global Terrorism Index: Capturing the Impact of Terrorism for the Last Decade”, Sydney and New York, 2012.
ปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย : แนวทางการแก้ไขด้านการทหารและความมั่นคง
โดย วีระศักดิ์ นาทะสิริ15 มิถุนายน 2556 15:11 น.
       โดย...วีระศักดิ์ นาทะสิริ1
      
       1. สถานการณ์การก่อการร้ายของประเทศไทยในปัจจุบัน
      
       1.1 การจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายของโลก
      
       ถ้าได้ทราบว่า ไทยเป็นประเทศหนึ่งในสิบของโลก (Top Ten of the World) เราก็ต้องตื่นเต้นและประหลาดใจว่า รัฐบาลได้ไปทำอะไรมาจึงทำให้อันดับของประเทศไทยพุ่งขึ้นไปถึงหนึ่งในสิบของโลก แต่เมื่อเราได้เห็นดัชนีผลกระทบจากการก่อการร้าย (Global Terrorism Index) ที่สถาบันเศรษฐกิจและสันติภาพ (The Institute for Economics and Peace) ได้จัดทำขึ้นในปี 2012 ดังที่แสดงในตารางที่ 1 หลายท่านก็คงเข้าใจได้ทันทีว่า ประเทศไทยของเราได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายเป็นอันดับที่แปดของโลก
       คำอธิบาย
      
       - อันดับที่หนึ่ง ถึงอันดับที่สิบสาม หรือสีเลือดหมูหมายถึง ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงหรือได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายสูงที่สุด (Highest Impact of Terrorism)
      
       - อันดับที่ต่ำสุด (อันดับที่ 116) หรือสีเขียว หมายถึง ประเทศที่ไม่มีความเสี่ยงหรือไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการก่อการร้าย (No Impact of Terrorism)
      
       1 ปัจจุบันผู้เขียนทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
      
       1.2 สถิติการก่อการร้ายของประเทศไทยในระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2556
       ข้อมูลในตารางที่ 1 และ 2 ได้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งก่อนและหลังการพูดคุยสันติภาพ Peace Talk ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยซึ่งมีพลโทภราดร พัฒนถาบุตร เป็นหัวหน้าคณะกับนายฮัสซัน ตอยิบ ตัวแทนกลุ่ม BRN เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สถานการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะเกิดความสงบสันติได้อย่างที่หวัง ซึ่งอาจประมาณการได้ดังนี้
      
       ประการแรก กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว อาจมีกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ (รวมทั้งกลุ่มอาชญากรรมต่างๆ) ที่เป็นอิสระไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่ม BRN ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยกับการพูดคุยสันติภาพของกลุ่ม BRN
      
       ประการที่สอง ถ้ามองในแง่ลบ เป็นไปได้ว่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธจะปฏิบัติการก่อการร้ายเพิ่มมากขึ้นต่อไปเพื่อกดดันรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของไทยให้ยินยอมตามความต้องการของฝ่ายการเมืองของกลุ่ม BRN ซึ่งได้เสนอผ่าน Youtube ให้คนไทยได้รับทราบกันไปไม่นานมานี้
      
       ประการสุดท้าย กลุ่มก่อการร้ายได้เพิ่มการปฏิบัติการรุนแรงและโหดเหี้ยมมากขึ้นโดยไม่เลือกเป้าหมาย และมุ่งขจัดหรือสร้างความหวาดกลัวต่อประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและไม่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้าย เพื่อลดจำนวนประชาชนที่ต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายโดยไม่เลือกว่านับถือศาสนาใด (คงมุ่งหวังหรือต้องการให้อพยพออกไปจากพื้นที่) และในทางตรงกันข้ามก็จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนของประชาชนที่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ โดยมุ่งหวังว่า ถ้ารัฐบาลไทยโอนอ่อนยินยอมให้มีการปกครองตนเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือเป็นเขตปกครองพิเศษที่มีการเลือกผู้บริหารโดยตรงจากประชาชนในพื้นที่ กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ (BRN และกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ) ก็เชื่อมั่นว่า จะมีกลุ่มประชาชนที่ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้ตัวแทนของกลุ่มก่อการร้าย (BRN และกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ) ได้รับเลือกเข้ามาเป็นผู้บริหารเขตปกครองพิเศษในอนาคต
      
       ดังนั้น การพูดคุยสันติภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เป็นเครื่องมือเพียงประการเดียวที่จะสามารถยุติการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ท่านเลขาธิการ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) เชื่อและเข้าใจ เพราะยังมีเครื่องมืออื่นๆ2 ที่รัฐจะต้องนำมาใช้ร่วมกับการพูดคุยสันติภาพ เช่น มาตรการทางทหารในการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มาตรการการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลเพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ นอกเหนือจากศาสนา และเพื่อพัฒนาประชาชนให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มาตรการการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและเพิ่มความต้องการแรงงานในทุกระดับความรู้ และมาตรการการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมเพื่อให้ประชาชนที่นับถือศาสนาและวัฒนธรรมที่ต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเคารพในสิทธิและความเชื่อของบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม
      
       2. ยุทธวิธีที่เป็นที่นิยมของกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
      
       2.1 การวางเพลิง Arsons เป็นวิธีการที่ไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน ไม่มีความเสี่ยงจากความผิดพลาดทางเทคนิคเพราะเป็นเรื่องพื้นๆ ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นการวางเพลิง การทำลายโทรทัศน์วงจรปิด การวางตะปูเรือใบ การตัดต้นไม้ขวางถนน การให้สัญญาณหรือการแจ้งเตือน จึงเป็นการฝึกการก่อการร้ายในขั้นต้นก่อนที่จะเริ่มการใช้อาวุธปฏิบัติการที่รุนแรงขึ้นในขั้นต่อไป
      
       2.2 การลอบสังหารบุคคลเป้าหมาย Assassination เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมมาก ซึ่งมักจะมุ่งกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอหรือเป้าหมายที่ไม่มีการป้องกันตนเองเพราะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
      
       2 ความขัดแย้งในศรีลังกาได้ใช้ทั้งมาตรการทางการเมือง การเจรจา และได้มีการหยุดยิงในปี 2006 แต่ในที่สุดต้องใช้มาตรการทางทหารจึงจะสามารถยุติความขัดแย้งได้ (ดูSri Lanka Civil WarในWikipedia) สูง เช่น การยิงครูและบุคลากรทางการศึกษา ใช้มีดฟันพระภิกษุ การสังหารข้าราชการพลเรือน พ่อค้าหาบเร่ และเด็ก ผู้หญิง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมุ่งกระทำต่อคนไทยที่นับถืออิสลามแต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการที่รุนแรงเหี้ยมโหดของกลุ่มก่อการร้าย เช่น การบุกเข้าไปยิงครูชลธี เจริญชล (ซึ่งนับถืออิสลาม) ต่อหน้านักเรียนในโรงเรียน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 เป็นต้น
      
       2.3 การเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหาร Raids หรือสถานที่ทำการของหน่วยงานรัฐ คือ การรวมกำลังของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหาร สถานีตำรวจ และสำนักงานที่ทำการของหน่วยงานรัฐ เพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยึดอาวุธและทรัพย์สินสิ่งของต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มก่อการร้าย เช่น การโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547, การบุกโจมตี ร้อย ร. 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2554 และการเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการปล.ที่ 2 ฉก.นย. 32 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556
      
       2.4 การซุ่มโจมตี Ambushes มักจะเป็นการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อทำลายเป้าหมายรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มซึ่งได้แก่ การซุ่มโจมตีรถของบุคคลสำคัญ ขบวนรถบรรทุกทหารและบรรทุกสัมภาระ และขบวนรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวนหรือรักษาความปลอดภัยครู ตัวอย่างเช่น การซุ่มโจมตีขบวนรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวน 3 คันของทหารพรานบนถนนปัตตานี-ยะลา ตำบลแม่ลาน จังหวัดปัตตานีซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นาย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 (จากBangkok Post Online)
      
       2.5 การวางระเบิด Bombings โดยใช้ระเบิดประกอบเฉพาะกิจ หรือระเบิดแสวงเครื่องซึ่งมีคำ ย่อว่า IEDs (Improvised Explosive Devices) วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้ทั้งในอิรัก อัฟกานิสถาน และรวมทั้งในประเทศไทยของเรา เนื่องจากวัสดุที่นำมาประกอบระเบิดมีราคาไม่แพง จึงไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการจัดทำขึ้นเองโดยใช้เวลาเรียนรู้เพียง 2-3 สัปดาห์ สามารถจัดทำในขนาดที่เหมาะสมต่อเป้าหมายหรือต่อการใช้งานตามลักษณะของสถานที่ต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังสะดวกในการพกพาไปในที่ต่างๆ โดยไม่เป็นที่สังเกตอีกด้วย ดังนั้นกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงนิยมที่จะใช้การวางระเบิดเพื่อทำลายทรัพย์สิน และบุคลากรของรัฐและเอกชน (ดูตารางที่ 2 จะเห็นว่าการสูญเสียชีวิตจากการวางระเบิด จะอยู่ในลำดับที่ 2 รองจากการลอบยิงเท่านั้น)
      
       2.6 การวางระเบิดและซุ่มโจมตี Bombings & Ambushes เป็นวิธีการที่ผสมกันระหว่างการวางระเบิดและการซุ่มโจมตี เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอิรัก และอัฟกานิสถาน ในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วยเช่นกัน กลุ่มก่อการร้ายในไทยเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว (คาดว่าน่าจะมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศได้เข้ามาให้การอบรมสั่งสอน) และนำไปปฏิบัติจนสามารถทำลายเป้าหมายที่เป็นบุคคลสำคัญของหน่วยงานรัฐได้หลายครั้ง เช่น การวางระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2556 และการวางระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร. 15123 ฉก.นราธิวาส 30 บนถนนสายปูโป-บือเจาะบองอ ต.สาวอ ทำให้ร.อ.ศิวิช ศรีอุปโย เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 เป็นต้น
      
       3. ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในด้านการทหารและความมั่นคงของชาติ
      
       ผู้เขียนเชื่อว่า มาตรการด้านการทหารและความมั่นคงไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะสามารถแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้ากลุ่มก่อการร้ายใช้ยุทธวิธีทางทหาร เช่น การลอบยิง การซุ่มโจมตี และการวางระเบิดเพื่อสังหารประชาชนและเจ้าหน้าที่จนก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมายดังข้อมูลที่แสดงในตารางที่ 2 ก็อยากถามว่า รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของรัฐจะนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ตอบโต้หรือไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยหรือ
      
       มีหลายท่านที่มีความเชื่ออย่างผิดๆ และชอบอ้าง (โดยไม่ได้ศึกษาหรือไม่ได้เรียนรู้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต) ว่า การเจรจาหรือพูดคุยสันติภาพเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถยุติเหตุการณ์ความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ซึ่งผู้เขียนขอแย้งว่าไม่เป็นความจริงโดยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเช่น ที่ศรีลังกาได้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวสิงหลที่เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม กับชาวทมิฬที่อพยพมาจากแคว้นทมิฬนาดูในอินเดียตอนใต้ จนเกิดการสู้รบหลายครั้งและมีการเจรจาหยุดยิงในปี 2002 แต่ในที่สุดก็เกิดการสู้รบขึ้นอีกในปี 2006 และในปี 2009 กองทัพศรีลังกาก็ได้รับชัยชนะสามารถยุติการสู้รบ (การต่อสู้ที่ใช้อาวุธ) ได้อย่างเด็ดขาด
      
       สำหรับตัวอย่างต่อมาเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลรัสเซียกับชาวเชชเนียที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนปกครองตนเอง ทำให้เกิดการสู้รบกันหลายครั้ง มีการเจรจายุติการสู้รบ แต่ในที่สุดก็เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้นอีกในปี 1999 และในปี 2000 การทำสงครามตามแบบระหว่างรัสเซียกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชชเนียก็ยุติลง แต่ได้แปรสภาพเป็นการก่อการร้าย ต่อมาในปี 2009 กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชชเนียซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจากการก่อการร้าย (คาดว่าคงได้รับความสูญเสียจากการโต้ตอบของกองกำลังของรัสเซีย และของรัฐบาลเชชเนีย) ก็ได้ประกาศยุติการก่อการร้ายหรือการใช้อาวุธอย่างสิ้นเชิง
      
       ส่วนกรณีความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือนั้นมีปัจจัยบางอย่างที่แตกต่างจากทั้งสองตัวอย่างข้างต้น กล่าวคือ มีการกล่าวหาว่า กลุ่ม IRA อาจได้รับประโยชน์จากการให้ความคุ้มครองกลุ่มค้ายาเสพติดและธุรกิจที่ผิดกฎหมาย (Horgan, J. and Taylor, M. pp. 124-152) ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่ม IRA บางส่วนไม่พอใจในการกระทำดังกล่าว และต้องการที่จะเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งที่ใช้อาวุธ และที่สำคัญคือในเดือนสิงหาคม ปี 2001 ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกอบระเบิดของ IRA (Irish Republican Army) 3 คนที่ไปช่วยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน FARC (หรือ People’s Army) ได้ถูกจับที่Colombia ซึ่งการที่กลุ่มหัวรุนแรงของ IRA ได้ถูกจับในเหตุการณ์ต่างๆ อาจมีผลทำให้การเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือบรรลุผลได้ง่ายขึ้น
      
       จากกรณีตัวอย่างทั้ง 3 จะเห็นว่า การใช้มาตรการทางทหารเพื่อยุติการใช้ความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ (ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นยาแรงที่ใช้กับอาการไข้ที่รุนแรง) ยังมีความจำเป็นและเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะยับยั้งหรือขจัดการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างเป็นผล แต่ต้องใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ซึ่งผู้เขียนมีข้อเสนอแนะเพื่อรัฐบาลและหน่วยต่างๆ ได้นำไปพิจารณา ดังนี้
      
       3.1 ข้อเสนอแนะด้านความมั่นคงของชาติ
      
       3.1.1 รัฐบาลต้องมีความจริงใจและมีความกล้าที่จะแก้ไขปัญหานี้ หมายความว่า รัฐบาลจะต้องไม่กลัว ไม่ขี้ขลาด ต้องกล้าประณามการกระทำที่โหดเหี้ยมของกลุ่มก่อการร้าย เช่น การสังหารประชาชน 6 ศพ โดยการจ่อยิงทีละคนซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วยที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556
      
       3.1.2 รัฐบาลควรออกกฎหมายห้ามประชาชนไทยถือสองสัญชาติ ถ้าบุคคลใดถือสองสัญชาติจะต้องถูกยกเลิกสิทธิการมีสัญชาติไทยทันทีที่มีหลักฐานแสดงการถือสัญชาติอื่น และควรระงับการโอนสัญชาติอื่นมาเป็นสัญชาติไทยเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี
      
       3.1.3 รัฐบาลควรจัดทำประชามติถามประชาชนทั้งประเทศว่าจะให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แบ่งแยกออกจากประเทศไทยไปปกครองตนเองเป็นรัฐอิสระหรือไม่ เพื่อให้ได้ฉันทามติในการแก้ไขปัญหานี้
      
       3.2 ข้อเสนอแนะด้านการทหาร 
      
       3.2.1 ไทยต้องพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ (กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกองทัพของอิสราเอล โดยเฉพาะกองทัพอากาศจะต้องได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการให้ความคุ้มครองการปฏิบัติภารกิจของทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือได้ในทุกพื้นที่เนื่องจากไทยมีพรมแดนติดต่อกับหลายประเทศที่มีปัญหาและมีข้อพิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงในอนาคต การมีกองทัพที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ยับยั้งไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามข่มขู่และมุ่งที่จะใช้กำลังกับประเทศไทยเพียงวิธีเดียว
      
       3.2.2 กองทัพเรือควรได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสมารถในการป้องกันและทำลายเส้นทางการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายจากต่างประเทศทั้งในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก
      
       3.2.3 กองทัพบกควรจัดตั้งหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายเป็นการเฉพาะเพื่อให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการขจัดหรือทำลายการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ โดยให้หน่วยอื่นๆ ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน
      
       3.2.4 กองทัพควรจัดตั้งชุดป้องกันภัยของหมู่บ้านซึ่งมีทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองเป็นแกนร่วมกับชาวบ้าน (ควรพัฒนาชุดรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านหรือชรบ.ขึ้นใหม่) และจัดฝึกอบรมการใช้อาวุธเพื่อให้ทำหน้าที่ช่วยเหลือทหารและตำรวจในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหมู่บ้าน
      
       3.2.5 กองทัพบกจะต้องจัดทำคู่มือการต่อต้านการวางระเบิด รวมทั้งคู่มือการต่อต้านการก่อการร้ายที่ทันสมัย เพื่อใช้อบรมกำลังพลทุกนายที่จะต้องไปปฏิบัติงานในพื้นที่ได้เรียนรู้ เข้าใจ จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นผล
      
       3.2.6 กองทัพต้องจำกัดเสรีในการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้าย เพราะถ้ากลุ่มก่อการร้ายมีเสรีในการปฏิบัติมากเพียงใด ก็จะสร้างความสูญเสียต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการที่ ผบ.ทบ.เสนอให้สร้างรั้วตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย ต้องขอชมว่าเป็นความคิดริเริ่มที่ดีที่จะจำกัดเสรีในการดำเนินการต่างๆ ของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน
      
       อย่างไรก็ดี แม้ข้อเสนอให้สร้างรั้วเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนจากการสร้างรั้วมาเป็นกำแพงขนาดใหญ่เช่นเดียวกับกำแพงเมืองจีน โดยมีความสูงไม่ต่ำกว่า 8 เมตร และกว้างไม่ต่ำกว่า 6 เมตรโดยจุด เริ่มต้นของกำแพงนี้ควรเริ่มจากชายแดนไทย-มาเลเซีย จังหวัดสตูล ผ่านยะลา และไปจดอ่าวไทยที่จังหวัดนราธิวาส รวมระยะทางประมาณ 506 กิโลเมตร (ดูรูปที่ 1) บนกำแพงควรสร้างให้แข็งแรงแบบทางด่วนในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการขนส่งหรือขนย้ายเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น เช่น กรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ หรือภัยทางธรรมชาติ เป็นต้น และควรมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในจุดที่สำคัญตามแนวกำแพงนี้ด้วย
       นอกจากนี้การมีกำแพงขนาดใหญ่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลย์ไม่เพียงเป็นเครื่องช่วยสกัดกั้นการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีหรือสิ่งผิดกฎหมายเข้าประเทศ เช่น การลักลอบนำน้ำมันหนีภาษี และยาเสพติดเข้าไทย แต่ยังสามารถใช้ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย และยังจะสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศได้อีกด้วย
      
       4. สรุป
      
       การเสนอแนวความคิดให้จัดสร้างรั้วหรือกำแพงเมืองไทย มีหลายท่านคงคิดว่า ผู้เสนอแนวคิดนี้คงจะเพี้ยนไป จึงขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หนึ่งในผู้สร้างกำแพงเมืองจีนคือ ฉินซือหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนผู้รวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นและมีความมั่นคงจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ไทยจะมีโครงการสร้างกำแพงเมืองไทยเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เช่นเดียวกับที่จีนได้เคยทำมาในอดีตผู้เขียนจึงขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้รีบจัดทำโครงการสร้างกำแพงเมืองไทย (The Great Wall of Thailand) ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อขจัดปัจจัยที่สนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มผิดกฎหมายต่างๆ ให้ลดลงหรือหมดสิ้นไป
      
       สำหรับความเป็นมาของปัญหา กลยุทธ์ของกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน และข้อเสนอแนะอื่นๆ กรุณาดูในรายงานผลการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร (ระหว่างวันที่ 6 กันยายน - วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555) ครั้งที่ 1 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาในด้านการทหารและความมั่นคงของชาติ
      
       เอกสารอ้างอิง
      
       1. Horgan, J. and Taylor, M. “Insurgency in Ireland: A preliminary analysis of the Provisional IRA ceasefire - 1994-1996”, in Albrecht Schnabel and Rohan Gunaratna, Understanding and Managing Insurgent Movements, Singapore: Marshall Cavendish International, 2006, pp. 124-152.
      
       2. Institute for Economics & Peace. “2012 Global Terrorism Index: Capturing the Impact of Terrorism for the Last Decade”, Sydney and New York, 2012.

No comments:

CDD Photo Album